วัฒนธรรมและประเพณีที่สำคัญของอำเภอชัยบาดาล
ประเพณีสงกรานต์
วันที่ 13 เมษายน เป็นวันสงกรานต์และวันขึ้นปีใหม่ของไทย
ชาวไทยจะทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระรดน้ำอวยพรผู้ใหญ่เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องจากเดือนเมษายนเป็นช่วงฤดูร้อน
น้ำในคลอง ห้วย หนอง แห้งแล้งทำให้ปลาที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวเดือดร้อน ดังนั้นวันสงกรานต์จึงนิยมปล่อยปลาลงในแม่น้ำลำคลอง
ประเพณีสงกรานต์ของอำเภอชัยบาดาลมีจัดกันทั่วไปตามหมู่บ้านต่าง
ๆ ลักษณะของงานนอกจากจะเป็นงานบุญแล้ว ยังเป็นงานที่คนหนุ่มคนสาวได้สนุกสนานเพระมีการฟื้นฟู
นำการละเล่นพื้นบ้านมาเล่น เช่น ชักเย่อ ลูกช่วง ฯลฯ การจัดงานที่หน้าที่ว่าการอำเภอชัยบาดาล
เทศบาลตำบลลำนารายณ์ร่วมกับอำเภอและสภาวัฒนธรรมอำเภอ จัดงานสงกรานต์ขึ้นเป็นประจำทุกปี
งานเริ่มตั้งแต่ตอนเช้าทำบุญตักบาตรข้าวสาร
อาหารแห้ง
ภาคบ่ายขบวนแห่นางสงกรานต์ของหน่วยงานและตำบลต่าง
ๆ ประกวดนางสงกรานต์แต่งกายงามแบบไทย สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวขอพรผู้อาวุโส และการแสดงดนตรี
การหล่อเทียนพรรษาและแห่เทียนพรรษา
งานประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็นงานประเพณีที่รวมความผูกพันของชุมชนท้องถิ่น
โดยเริ่มตั้งแต่การที่ชาวบ้านร่วมบริจาคเทียน เอามาหลอมหล่อเป็นเทียนเล่มใหญ่เล่มเดียวกัน
แสดงถึงความสามัคคีกลมเกลียวในหมู่คณะ ซึ่งจัดโดยสภาวัฒนธรรมร่วมกับอำเภอชัยบาดาลบริเวณสี่แยกสัญญาณไฟจราจรและร่วมกันแห่เทียนพรรษากับทุกตำบล
ประเพณีลอยกระทงตำบลท่ามะนาว
วันลอยกระทง ตรงกับวันขึ้น
๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ตรงกับเดือนพฤศจิกายน หรือปลายเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำเต็มตลิ่ง
พระจันทร์เต็มดวงสุกสว่าง คนไทยสมัยก่อนจึงหาวิธีทำให้เกิดความเพลิดเพลินในยามค่ำคืน
จะมีการประดิษฐ์กระทง ซึ่งทำมาจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ง่าย เช่น ใบตอง ก้านกล้วย
ดอกบัวหรือกุหลาบเป็นต้น แล้วปักธูปเทียน จุดไฟอธิษฐานขอบคุณพระแม่คงคาที่ให้น้ำกิน
น้ำใช้ และเป็นการขอโทษพระแม่คงคา ที่ทำให้สกปรก และขอพรจากพระแม่คงคาให้มีความสุข
ความเจริญ การจัดประเพณีลอยกระทงที่วัดท่ามะนาว จะมีประชาชนให้ความสนใจและเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก
ปัจจุบันมีการไหลเรือไฟ ซึ่งร่วมจัดทำร่วมกันระหว่างวัดท่ามะนาวและ อบต.ท่ามะนาว
ประเพณีก่อเจดีย์ข้าวเปลือกของชาวบ้านบัวชุม
ตามความเชื่อของคนโบราณในแถบนี้
ที่เชื่อกันว่าทุกสิ่งมี "ขวัญ"
หรือมีเทพเจ้าที่เรียกว่าพระแม่โพสพสถิตย์อยู่ เมื่อชาวบ้านทำนาเพาะปลูกข้าวและเก็บเกี่ยวได้แล้ว
ก่อนนำข้าวมาบริโภคหรือจำหน่าย จะมีการทำพิธี "สู่ขวัญข้าว"
ทำนองเป็นการบูชาพระแม่โพสพที่สถิตย์อยู่ในข้าว เป็นการแสดงความเคารพต่อธรรมชาติ ซึ่งต่อมาเมื่อรับวัฒนธรรมแบบชาวพุทธเถรวาทซึ่งปฏิเสธการบูชาเซ่นทรวงเข้ามา จึงได้ "ปรับ" ประเพณีนี้ให้เข้ากับวัฒนธรรมความเชื่อดั้งเดิมของตน
คือ การนำข้าวแรกเกี่ยวไปถวายพระหรือก่อพระเจดีย์เพื่อเป็นการทำบุญเป็นพุทธบูชาแทน
และเป็นการปฏิบัติตามคำสอนในพระพุทธศาสนาก็ได้ถือคติปฏิบัติเช่นนี้สืบมาจนถึงปัจจุบันโดยจะนำข้าวใหม่มาหุงบริโภคครั้งแรก แต่จะหุงไว้เป็นจำนวนมากกว่าปกติ เพื่อให้เหลือหลังจากบริโภคแล้ว
ทั้งนี้ถือเป็นเคล็ดว่าจะได้เหลือกินเหลือใช้ ไม่อดอยากยากจนอีกต่อไป
ในปีต่อไปของการทำไร่ทำนาก็จะได้อุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ข้าวใหม่ที่หุงนี้จะนำไปให้ผู้มีอาวุโส
เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ตลอดจนเผื่อแผ่ถึงลูกหลาน หลังจากนี้ก็หุงบริโภคตามปกติ
และส่วนหนึ่งนั้น ชาวบ้านก็จะมีการนำข้าวเปลือกมารวมกันที่วัดก่อเป็นเจดีย์ข้าวเปลือก
เพื่อทำบุญตามคติในพระพุทธศาสนาเป็นพุทธบูชา จากพิธีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นอุดมคติของ
ชาวบ้านที่ให้ความสำคัญต่อข้าว ในฐานะแหล่งอาหารสำคัญ เตือนสติผู้บริโภคให้สำนึกตระหนักถึงการบริโภคอย่างมีความหมาย
และให้เห็นคุณค่า
ประเพณีแห่เจ้าพ่อเจ้าแม่ (ปุนเท่าก๊ง
ปุนเท่าม้า)
ของคนไทยเชื้อสายจีนในเขตเทศบาลตำบลลำนารายณ์
เป็นงานประจำปีที่จะจัดขึ้นหลังจากวันตรุษจีนผ่านไปแล้ว 5 วันและจะมีขบวนแห่เจ้าพ่อเจ้าแม่ในวันที่
6 หลังจากวันตรุษจีน ซึ่งจะตรงกับประมาณปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
เทศกาลกินปลา ชิมพุทรา ตำบลชัยบาดาล
จัดโดยองค์การบริหารส่วนตำบลชัยบาดาล
เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว พุทรา 3 รส ปลาน้ำจืดจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
ประเพณีรำโทน
รำโทน เป็นการละเล่นพื้นบ้านชนิดหนึ่งของชาวบ้านเมืองลพบุรี
นิยมเล่นกันแพร่หลายในระหว่าง พ.ศ. 2484 - 2488 หรือในช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
หลังสงครามเลิกความนิยมเล่นรำโทนลดลงตามลำดับ ส่วนหนึ่งพัฒนาไปเป็นการละเล่น
" รำวง "และ " รำวงมาตรฐาน
" ในที่สุด เหตุที่เรียกชื่อว่ารำโทน เพราะเดิมเป็นการรำประกอบจังหวะการตีโทน
ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีหลัก ในการเล่น ภายหลังแม้ใช้เครื่องดนตรี อื่น เช่น รำมะนา
ตีให้จังหวะแทนก็ยังเรียกชื่อเช่นเดิม
อุปกรณ์และวิธีเล่น
เครื่องดนตรี เดิมใช้ "โทน" ตีในจังหวะ
" ป๊ะ โท่น ป๊ะ โท่น ป๊ะ โท่น โท่น หรือ " ป๊ะ โท่น โท่น
ป๊ะ โท่น โท่น " ใช้โทนใบเดียวหรือหลายใบก็ได้ ต่อมานิยมใช้ " รำมะนา " แทนเพราะเสียงดังไพเราะและเร้าใจดีกว่า อาจใช้อุปกรณ์อื่น ๆ
เช่น ถังน้ำมันตีให้จังหวะแทนก็ได้ นอกจากนี้อาจจะใช้ฉิ่งตีให้จังหวะได้อีกด้วย
เพลงที่ใช้ร้องมักเป็นเพลงที่มีเนื้อร้องง่าย
ๆ เป็นเพลงสั้น ๆ ไม่มีชื่อเพลงเฉพาะมักเรียกชื่อตาม วรรคแรกของเนื้อร้อง
ไม่บอกชื่อผู้แต่งใครอยากแต่งขึ้นมาใหม่ก็ได้ จำกันร้องตามกันต่อ ๆ มา เนื้อร้อง
มักเป็นการเกี้ยวพาราสี ปลุกใจหรือสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่หรือมาจากวรรณคดีไทย
เช่น เพลงลพบุรีของเรานี่เอ๋ย เจ็ดนาฬิกา ใครรักใครโค้งใคร เชื่อผู้นำของชาติ
ศิลปากร ฯลฯ
วิธีเล่น ผู้เล่นชายจะโค้งชวนหญิงออกมารำเป็นคู่
ๆ ช่วยกันร้องไปรำตามกันไปเป็นวง นักดนตรีก็ ตีโทนให้จังหวะเร้าใจ เพลงหนึ่ง ๆ
จะร้องซ้ำ 3 - 4 เที่ยวก็จะเปลี่ยนเพลงต่อไป
การรำไม่มีท่ารำแน่นอน ตายตัวมักเป็นการใส่ท่าตามเนื้อร้อง
ใครต้องการรำคู่กับใครก็เปลี่ยนคู่รำกันตามใจ เด็ก ๆ
หรือผู้มาดูก็ยืนล้อมวงรอบวงรำ อาจช่วยตบมือและร้องตามไปด้วยอย่างสนุกสนาน
ผู้เล่นรำโทนแต่งกายสวยงาม ตามสบายตามสมัย ไม่มีระเบียบแบบแผนอะไรแน่นอนตายตัว
โอกาสหรือเวลาที่เล่น โอกาสที่เล่นรำโทน
ไม่มีโอกาสที่แน่นอนชาวบ้านนึกอยากจะเล่นเมื่อใดก็ชวนกันมาเล่นที่ลานบ้านคนใดคนหนึ่ง
จะเล่นตอนกลางคืนเท่านั้นมักเริ่มเล่นตอนหัวค่ำ เล่นกันไปเรื่อย ๆ
จนไม่มีคนเล่นหรือง่วงนอนกันมากแล้วก็จะเลิกเล่น แยกย้ายกันกลับบ้านของตน
ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม
เป็นนายกรัฐมนตรีมีการเล่นรำโทนอย่างแพร่หลายในจังหวัด ลพบุรี
เล่นกันในกลุ่มชาวบ้านและข้าราชการ ถึงกับให้ข้าราชการ - ทหาร ฝึกรำโทน
รำวงกันทุกวันพุธตอนเย็น ปัจจุบันยังมีการเล่นรำโทนกันบ้างในบางท้องถิ่น เช่น
ที่ตำบลบางผึ้ง อำเภอบ้านหมี่ ตำบลท่าวุ้ง ตำบลบางคู้ อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เป็นต้น
แต่ก็เป็นเพียงการละเล่นในกลุ่มย่อย ๆ ผู้เล่นมักเป็นคนสูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
ที่เคยเล่นเคยเห็นการรำโทนในสมัยสงครามมาก่อนทั้งสิ้น โดยหนุ่มสาวสมัยก่อนเล่นรำโทนเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง
เพื่อพักผ่อนหย่อนใจยามเหงาหรือยามสงครามที่ ค่ำลงก็ไม่มีอะไรจะทำกัน
เป็นการเพิ่มชีวิตชีวาให้กับชีวิตที่ต้องอดออมและเสี่ยงภัยในยามสงคราม กล่าวได้ว่า
รำโทนเป็นมหรสพยามค่ำคืนของชาวบ้านในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น